สินค้าและบริการ

การฉีดเกร็ดเลือดรักษาข้อเข่าเสื่อม และการบาดเจ็บจากกีฬา

   เกร็ดเลือดคือเซลล์เม็ดเลือดชนิดหนึ่ง มีหน้าที่กระตุ้นกลไกการซ่อมแซมร่างกายของมนุษย์เมื่อคนเรามีการบาดเจ็บหรือสึกหรอ เทคโนโลยีการฉีดเกร็ดเลือดเพื่อการรักษา เป็นการนำเลือดของเราเองไปสกัดเพื่อให้ได้เกร็ดเลือดเข้มข้นแล้วนำกลับไปฉีดให้ตัวเราเอง ซึ่งก็คือการกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมตัวเองของเราให้ทำงานได้เร็วขึ้นและดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่าการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้ผลดีในหลายๆโรค ได้แก่ ข้อเข่าเสื่อม ข้อเข่าบาดเจ็บ เส้นเอ็นฉีกขาด ข้อศอกเทนนิส (tennis elbow) เป็นต้น

ขั้นตอนการรักษา

เริ่มจากการประเมินว่าปัญหาของผู้ป่วยเมื่อฉีดเกร็ดเลือดแล้วน่าจะได้ผลดีหรือไม่ หากสมควรต้องฉีดแพทย์จะทำการเจาะเลือดผู้ป่วยในปริมาณ 15 ซีซี แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นเป็นเวลา 20 นาที เครื่องปั่นจะแยกเม็ดเลือดแดงออกจากซีรั่มซึ่งมีเกร็ดเลือดเข้มข้น ระหว่างนี้แพทย์จะทำการฉีดยาชาที่เข่าของผู้ป่วยเพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดใดๆเมื่อทำการฉีดเกร็ดเลือด เมื่อกระบวนการปั่นเลือดเสร็จสมบูรณ์แพทย์จะใช้เฉพาะซีรั่มซึ่งจะมีปริมาณ 5cc ฉีดเข้าไปในข้อเข่าของผู้ป่วย ขั้นตอนนี้จะรู้สึกตึงๆในเข่าเล็กน้อยเนื่องจากมีของเหลวปริมาณ 5 cc ถูกฉีดเข้าไปในข้อเข่า หลังจากฉีดแล้วผู้ป่วยจะเดินและทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นใดๆ ขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที

หลังฉีด เกร็ดเลือดจะทำงานของเขาตามธรรมชาติ คือปล่อยสารจำเป็นออกมากระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมข้อเข่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกปวดเข่าน้อยลงเมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ อาการปวดจะบรรเทาลงเรื่อยๆ โดยแพทย์จะนัดติดตามอาการครั้งต่อไปประมาณ 1 เดือนหลังฉีดเพื่อรอให้กระบวนการซ่อมแซมเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายตอบสนองดีมากจนไม่จำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 2

 

ต้องฉีดกี่เข็ม

จำนวนเข็มที่ต้องฉีดจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความเสียหายมากน้อยรวมถึงอายุของผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่ข้อเข่ายังเสื่อมไม่มากและยังไม่สูงอายุมาก การฉีดเพียงเข็มเดียวก็อาจหายปวดได้ แต่สำหรับผู้ป่วยที่ข้อเข่ามีความเสียหายมากหรือค่อนข้างสูงอายุอาจต้องฉีดถึง 3 เข็ม จากประสบการณ์ของหมอวิภู ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการดีขึ้นอย่างน่าพอใจหลังจากฉีดเข็มที่ 2

 

หลังฉีดแล้วอยู่ได้นานเท่าไหร่?

จากประสบการณ์ของหมอวิภู ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายปวดอยู่นานเกิน 1 ปี ผู้ป่วยบางรายอาจอยู่ได้นาน 3 – 4 ปี ผู้ป่วยที่อาการปวดกลับมาเร็วที่สุดคือ 1 ปี ทั้งนี้ไม่สามารถทำนายได้ว่าผู้ป่วยท่านใดจะหายปวดอยู่นานเท่าใด เพราะส่วนหนึ่งอาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เข่าของผู้ป่วย

 

ผลข้างเคียงของการฉีดเกร็ดเลือด

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่บางรายอาจมีอาการตึงหรือไม่สุขสบายที่เข่าได้บ้างเป็นเวลา 2 – 5 วัน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติ เนื่องจากเป็นการฉีดซีรั่มของตนเองให้ตนเอง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้ 

(มีคลิป VDO อธิบายอย่างละเอียด)

การสะกิดปมกล้ามเนื้อรักษาออฟฟิศซินโดรม

   การสะกิดปมกล้ามเนื้อ (dry needling technique) เป็นการรักษาออฟฟิศซินโดรมที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีมากโดยไม่ต้องใช้ยาใดๆจึงไม่มีการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงต่อตับ ไต หรือกระเพาะอาหาร ออฟฟิศซินโดรมคือการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังเนื่องจากเกร็งกล้ามเนื้อต่อเนื่องนานและบ่อยเกินไปโดยไม่รู้ตัว เช่น นั่งนานๆโดยไม่พิงพนักเก้าอี้ ก้มคอนานเพื่ออ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เป็นต้น กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานมากเกินไปเช่นนี้ ใยกล้ามเนื้อบางส่วนจะเกร็งตัวค้างกลายเป็นปมกล้ามเนื้อโดยไม่สามารถคลายตัวออกได้ การรับประทานยาแก้ปวดแก้อักเสบมักได้ผลบรรเทาปวดเพียงชั่วคราวในห้วงที่ยาออกฤทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นการรับประทานยาแก้อักเสบต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์จะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะ ลำไส้ หรือทำให้ไตเสื่อม โรคออฟฟิศซินโดรมจึงไม่เหมาะกับการรักษาด้วยการรับประทานยา

ออฟฟิศซินโดรมสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่การสะกิดปมกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ได้ผลรวดเร็วมาก ออฟฟิศซินโดรมที่ไม่ซับซ้อน เมื่อรักษาโดยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะหายภายใน 1 – 2 ครั้งของการรักษา ผลข้างเคียงของการสะกิดปมกล้ามเนื้อคือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการระบมเข็มอยู่ประมาณ 1-2 วันหลังรักษา ซึ่งอาการจะหายไปเองโดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้ปวดมากจนต้องใช้ยาแก้ปวดใดๆ 

การฝังเข็มปรับสมดุลแบบแพทย์แผนจีน

   การฝังเข็มตามจุดลมปราณแบบจีน เป็นภูมิปัญญาของแพทย์แผนจีนโบราณซึ่งยังคงใช้ได้ผลอยู่จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะความเจ็บป่วยบางอย่างนั้นเกิดจากการเสียสมดุลของระบบอวัยวะในร่างกาย รวมถึงระบบประสาทอัตโนมัติ โดยอาจแสดงออกด้วยอาการต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ เหงื่อออกง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น ซึ่งสภาวะเช่นนี้การแพทย์แผนปัจจุบันอาจรักษาไม่ได้ผลดีนัก

 

กลไกของการฝังเข็ม

การสอดเข็มโลหะลง ณ จุดที่แพทย์แผนจีนเชื่อว่าเป็นประตูลมปราณนั้น จะกระตุ้นสมองซึ่งจะสั่งการให้เกิดการปรับเปลี่ยนการไหลเวียนโลหิต จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่ามีการไหลเวียนโลหิตเพิ่มขึ้นจริงบริเวณที่ทำการฝังเข็ม จึงช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือบาดเจ็บ การฝังเข็มมักได้ผลดีในโรคข้อเสื่อมต่างๆ เช่น กระดูกสันหลังเสื่อม รวมถึงบริเวณที่รักษาได้ยาก เช่น ระบบประสาท ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าการฝังเข็มช่วยรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เส้นประสาทที่ใบหน้าเป็นอัมพาต นอกจากนั้นการยังช่วยรักษาอาการต่างๆที่การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าเกิดจากการเสียสมดุลของระบบอวัยวะ เช่น ปวดศีรษะ ไมเกรน ปวดประจำเดือน วัยทอง นอนไม่หลับ เป็นต้น การฝังเข็มจึงเป็นศาสตร์การแพทย์ที่ใช้เครื่องมืออันเรียบง่ายแต่สามารถรักษาโรคได้อย่างกว้างขวางและปลอดภัย

การรักษาอาการชาเท้าเนื่องจากปลายประสาทเสื่อม

   เป็นการผสมผสานการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีน โดยใช้วิตามินบี12 ฉีดที่จุดฝังเข็มจึงเป็นทั้งการกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนโลหิตตามทฤษฎีแพทย์แผนจีนและยังได้ประโยชน์จากสรรพคุณในการบำรุงเส้นประสาทของวิตามินบี12 การรักษาวิธีนี้ได้ผลปานกลางในภาวะปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวานซึ่งเป็นภาวะที่รักษาได้ยากมาก ผู้ป่วยด้วยภาวะปลายประสาทเสื่อมนี้จะมีอาการชาเท้าเดินไม่ถนัด ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยบางรายอาจเป็นแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากเท้าชา ตามมาด้วยปัญหาแผลเรื้อรังที่เท้าซึ่งรักษาได้ยากและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 

ผลการรักษา

การฉีดวิตามินบี12 ที่จุดฝังเข็มที่ขาให้ผลการรักษาที่ดีปานกลาง ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกเท้าสัมผัสพื้นได้ดีขึ้นจึงเดินได้ดีขึ้น อย่างไรก็ดีเนื่องจากเป็นโรคที่รักษายาก การรักษาด้วยวิธีนี้จึงอาจไม่ได้ผลในผู้ป่วยบางราย และไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยแต่ละรายจะได้ผลมากหรือน้อยเพียงใด ข้อดีของวิธีนี้คือเป็นการรักษาที่ปลอดภัย เนื่องจากใช้เพียงวิตามินบี12 เท่านั้นไม่มียาหรือสารเคมีอื่น การฉีดวิตามินแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที เมื่อฉีดเสร็จผู้ป่วยสามารถเดินและทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ

ต้องฉีดกี่ครั้ง

เนื่องจากการรักษาด้วยวิธีนี้ อาจไม่ได้ผลในผู้ป่วยบางราย หมอวิภูแนะนำให้ทดลองฉีดสัปดาห์ละครั้งเป็นจำนวน 5 ครั้ง หากได้ผล อาการชาเท้าลดลง รู้สึกว่าเท้าสัมผัสพื้นได้ดีขึ้น แนะนำให้ฉีดต่อจนครบ 10 ครั้ง หากฉีด 5 ครั้งแล้วยังไม่ได้ผลผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีนี้